เราเป็นผู้นำด้านธุรกิจนายหน้า ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร

9 เดือนแสนสิริผงาดแชมป์รายได้ ท็อป 11 บิ๊กแบรนด์รักษาท็อปฟอร์มยอดโอน-กำไร

เทศกาลเปิดเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปอย่างคึกคัก

โฟกัสวงการอสังหาริมทรัพย์ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” นำเสนอข้อมูลผู้ประกอบการบิ๊กแบรนด์ 11 รายแรก หรือท็อป 11 ที่ยืนเด่นในด้านการสร้างยอดรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางมหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้

ตลาดลักเซอรี่ศักยภาพเติบโตสูง

โดย “สุวรรณี มหณรงค์ชัย” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังมีความท้าทายต่อเนื่อง แต่จะเห็นได้ชัดว่าในปี 2567 ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากกลุ่มกำลังซื้อผู้มีรายได้สูง ทำให้ดีเวลอปเปอร์หันมาโฟกัสตลาดระดับบนที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง

โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต ซึ่งเห็นการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ เช่น วิลล่าและคอนโดมิเนียมใกล้ทะเล ความต้องการในกลุ่มนี้ยังคงสูง ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนในภูเก็ตเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก

นอกจากนี้ หัวเมืองหลักในภูมิภาคอื่น ๆ ก็มีการฟื้นตัวในกลุ่มที่อยู่อาศัยสำหรับการพักผ่อนและนักท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ และชลบุรี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังคงอยู่ในตลาดอสังหาฯไทย ที่แม้จะเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย แต่ยังคงเติบโตจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในหลายจังหวัด

แสนสิริ-AP-ศุภาลัยตัวเลขสีเขียว

ทั้งนี้ เทรนด์การเติบโตในเซ็กเมนต์ระดับลักเซอรี่และอัลตราลักเซอรี่ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนผ่านผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2567) ที่พบว่า มีดีมานด์ซื้ออย่างต่อเนื่องในโครงการที่พัฒนาในทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุนและกลยุทธ์การพัฒนาที่เหมาะสม ทำให้สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่งผลให้ผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้า โดย “แสนสิริ” รั้งอันดับ 1 กวาดรายได้สูงสุด ตามด้วย “เอพี ไทยแลนด์” และ “ศุภาลัย” รายละเอียดดังนี้

อันดับ 1 “บมจ.แสนสิริ” มีรายได้รวม 28,877 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 4.7% เทียบกับ 9 เดือนปี 2566 มีกำไรสุทธิ 4,009 ล้านบาท ลดลง 15.8% เนื่องจากปีที่แล้วมีการบันทึกกำไรพิเศษ โดยรายได้การขายโครงการในไตรมาส 3/67 สัดส่วน 2 ใน 3 ยังคงมาจากโครงการบ้านแนวราบ จุดเน้นเป็นพิเศษอยู่ที่มีรายได้หลักมาจากบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่และซูเปอร์ลักเซอรี่ที่แสนสิริเป็นเจ้าตลาด

อันดับ 2 “บมจ.เอพี ไทยแลนด์” มีรายได้รวม 28,049 ล้านบาท ลดลง 3% จาก 28,921 ล้านบาท, มีกำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท ลดลง 21 % จาก 4,719 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกลุ่มสินค้าบ้านแนวราบยังคงเป็นโปรดักต์ไฮไลต์ของเอพี ไทยแลนด์

อันดับ 3 “บมจ.ศุภาลัย” สร้างรายได้รวมอยู่ที่ 22,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จาก 21,538 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จาก 3,972 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม

อันดับ 4 “บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” มีรายได้รวม 20,419 ล้านบาท ลดลง 4.1% จาก 21,289 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,898 ล้านบาท ลดลง 27.4% จาก 3,989 ล้านบาท

อันดับ 5 “บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง” มีรายได้รวม 15,607 ล้านบาท ลดลง 21.6% กำไรสุทธิลดลง 63.9% เหลือ 753 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 2,082 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการอนุมัติสินเชื่อที่สถาบันการเงินมีการพิจารณาเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบางท็อป 11 อสังหา

ASW โตร้อนแรง-อนันดาฯรีเทิร์น

อันดับ 6 “บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน” ทำรายได้รวม 14,688 ล้านบาท ลดลง 7.2% จาก 15,821 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,220 ล้านบาท ลดลง 25.2% จาก 1,631 ล้านบาท โดยรายได้หลักจากการขายมาจากโครงการบ้านแนวราบที่เติบโต 15% และรายได้จากโครงการแนวสูง หรือคอนโดฯที่เติบโตขึ้น 9%

อันดับ 7 “บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” มีรายได้รวม 9,638 ล้านบาท ลดลง 22.3% เทียบจาก 12,410 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 45% เหลือ 1,318 ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 ที่มีกำไร 2,396 ล้านบาท

อันดับ 8 “บมจ.แอสเซทไวส์” หรือ ASW ทำรายได้รวม 7,767 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตของรายได้ 62.5% จาก 4,781 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 113.7% จาก 608 ล้านบาท นับเป็นผลประกอบการที่ร้อนแรงในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องยาวนานในช่วงที่ผ่านมา

อันดับ 9 “บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์” หรือคิวเฮ้าส์ ทำรายได้รวม 6,641 ล้านบาท ลดลง 3.6% จาก 6,885 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,683 ล้านบาท ลดลง 11.2% จาก 1,896 ล้านบาท

อันดับ 10 “บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์” หรือ LPN ทำรายได้รวม 5,978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จาก 5,563 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท ลดลง 33% จาก 336 ล้านบาท

และอันดับ 11 “บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” ทำรายได้รวม 5,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 107.8% เทียบกับช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 ที่มีรายได้รวม 2,486 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% เทียบกับผลประกอบการช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีจำนวน -686 ล้านบาท

กับดักสภาพคล่อง-ดอกเบี้ยแพง

“ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของ 11 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่ละบริษัทมีตัวเลขกำไร รายได้ และอัตราการเติบโตมากน้อยเพียงใดนั้น สะท้อนกลยุทธ์ของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกัน นับเป็นการส่งสัญญาณให้ต้องจับตาอะไรต่อไปในตลาดอสังหาฯ ช่วงท้ายปีไปจนถึงต้นปี 2568”

โดยภาพใหญ่พบว่า การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ทั้งการพัฒนาโครงการใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-สูง ซึ่งยังคงเป็นกำลังซื้อหลักในตลาด โดยผู้ประกอบการรายใหญ่มีความได้เปรียบจากเงินลงทุนและสภาพคล่องที่สูง สามารถพัฒนาโครงการหลากหลายทั้งในระดับราคาและรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดที่ยังมีจำกัดได้อย่างทั่วถึง

โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อดีมานด์ผู้บริโภคเป็นเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ตลอดจนผู้บริโภคยุคใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ, เทรนด์ในการอยู่อาศัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น เทรนด์ Pet Humanization การเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นคนในครอบครัว ทำให้มีความต้องการบ้านที่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น รวมทั้งบ้านที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัย และที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาบ้านที่สูงขึ้น และดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรง

อ่านข่าวต้นฉบับ: 9 เดือนแสนสิริผงาดแชมป์รายได้ ท็อป 11 บิ๊กแบรนด์รักษาท็อปฟอร์มยอดโอน-กำไร